เรื่องที่ 2 พันธะไอออนิก



พันธะไอออนิก
          พันธะไอออนิก คือ พันธะที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวก(cation) และไอออนลบ(anion) อันเนื่องมาจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน จากโลหะให้แก่อโลหะ  โดยทั่วไปแล้วพันธะไอออนิกเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะและอโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากว่าโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชัน(ionization energy)ต่ำ แต่อโลหะมีค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน(electron affinity)สูง ดังนั้นโลหะจึงมีแนวโน้มที่จะให้อิเล็กตรอน และอโลหะมีแนวโน้มที่จะรับอิเล็กตรอน
เมื่อโลหะเสียอิเล็กตรอนก็จะกลายเป็นไอออนบวก

อโลหะเมื่อรับอิเล็กตรอนก็จะกลายเป็นไอออนลบ


🌹การเกิดพันธะไอออนิก เกิดระหว่างโลหะกับอโลหะ ยกเว้น Be กับ B โดยโลหะจ่ายอิเล็กตรอนออกไปกลายเป็นประจุบวก อโลหะรับอิเล็กตรอนเข้ามากลายเป็นประจุลบ ประจุบวกและประจุลบที่เกิดขึ้นจะส่งแรงดึงดูดกัน เรียกว่า พันธะไอออนิก
🌹โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
1. ผลึกโซเดียมคลอไรด์ พบว่า ในผลึกโซเดียมคลอไรด์  มีโซเดียมไอออนสลับกันกับคลอไรด์ไอออนเป็นแถว ๆ  ทั้งสามมิติ  มีลักษณะคล้ายตาข่าย โดยที่แต่ละไอออน  จะมีไอออนต่างชนิดล้อมรอบอยู่ 6 ไออออน ดังรูป

ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างไอออนบวก : ไอออนลบเท่ากับ 6 : 6  หรือ 1 : 1 สูตรอย่างง่ายจึงเป็น NaCl
2. ผลึกซีเซียมคลอไรด์ แต่ละไอออนจะมีไอออนต่างชนิดล้อมรอบอยู่ 8 ไอออน ดังรูป
ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างไอออนบวก : ไอออนลบเท่ากับ  8 : 8  หรือ 1 : 1  สูตรอย่างง่ายจึงเป็น CsCl
จากตัวอย่างของโครงสร้างผลึกของโซเดียมคลอไรด์และซีเซียมคลอไรด์       จะมีลักษณะต่างกัน ถึงแม้ว่าเป็นธาตุในหมู่เดียวกัน เพราะมีขนาดไอออนต่างกัน


🌹 การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
          เราทราบแล้วว่าสารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้า ในการเขียนสูตรสารประกอบไอออนิกจึงต้องทราบว่าแต่ละธาตุที่ทำปฏิกิริยากันนั้นจะเกิดเป็นไอออนชนิดใด และมีจำนวนประจุเท่าใด ซึ่งพิจารณาได้จากการจัดอิเล็กตรอนของธาตุ ตัวอย่างไอออนของโลหะและอโลหะศึกษาได้จากรูป 
ธาตุในหมู่ IA   IIA และ IIIA เมื่อเกิดเป็นไอออนบวก ส่วนใหญ่จะมีประจุค่าเดียว การเรียกชื่อไอออนเหล่านี้ให้เรียกชื่อธาตุลงท้ายด้วยคำว่าไอออน ส่วนธาตุที่เกิดเป็นไอออนบวกได้มากกว่า 1 ชนิด เช่น ธาตุหมู่ IVA ที่อยู่ทางตอนล่างของตารางธาตุและโลหะแทรนซิชัน ให้เรียกชื่อธาตุและระบุประจำที่ปรากฎบนไอออนนั้นด้วยเลขโรมัน สำหรับธาตุหมู่ VA  VIA และ VIIA  มักเกิดเป็นไอออนลบ  ให้เรียกชื่อธาตุแล้วเปลี่ยนท้ายเสียงเป็น  ไ-ด์ (-ide) และลงท้ายด้วยคำว่าไอออน
สูตรสารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะและอโลหะ (M แทนโลหะ X แทนอโลหะ)

โลหะหมู่ อโลหะหมู่ สูตรเอมพิริคัล ตัวอย่าง
IA
IA
VIIA
VIA
MX
\displaystyle M_2 X
NaCL   Kl   CsF
\displaystyle Li_2 O   \displaystyle K_2 O   \displaystyle Na_2 S

IIA
IIA
VIIA
VIA
\displaystyle MX_2
MX
  \displaystyle MgCl_2   \displaystyle SrBr_2   \displaystyle CaI_2
BaS   SrO   MgS
IIIA
IIIA
VIIA
VIA
\displaystyle MX_3
\displaystyle M_2 X_3    
\displaystyle AlF_3
\displaystyle Al_2 O_3

 
การเรียกชื่อไอออนบวกและไอออนลบของธาตุ

ไอออนบวก
ไอออน 1+ ไอออน 2+ ไอออน 3+
\displaystyle H^ + ไฮโดรเจนไอออน \displaystyle Mg^{2 + } แมกนีเซียมไอออน \displaystyle Al^{3 + } อะลูมิเนียมไอออน
\displaystyle Na^ + โซเดียม ไอออน \displaystyle Ca^{2 + } แคลเซียมไอออน \displaystyle Cr^{3 + } โครเมียม (III) ไอออน
\displaystyle K^ + โพแทสเซียมไอออน \displaystyle Fe^{2 + } ไอร์ออน (II) ไอออน \displaystyle Fe^{3 + } ไอร์ออน (III) ไอออน
\displaystyle Cu^ + คอปเปอร์ (I)ไอออน \displaystyle Cu^{2 + } คอปเปอร์ (II) ไอออน 
\displaystyle Hg^ +
\displaystyle (Hg_2 ^{2 + } )
เมอร์คิวรี (I) ไอออน \displaystyle Hg^{2 + }   เมอร์คิวรี (II) ไอออน      
\displaystyle Ag^ + ซิลเวอร์ไอออน \displaystyle Pb^{2 + } เลด (II) ไอออน       
ไอออนลบ
ไอออน 1- ไอออน 2- ไอออน 3-
\displaystyle H^ - ไฮไดร์ไอออน \displaystyle O^{2 - } ออกไซด์ไอออน \displaystyle N^{3 - } ไนโตรด์ไอออน
\displaystyle Cl^ - คลอไรด์ไอออน \displaystyle S^{2 - } ซัลไฟด์ไอออน \displaystyle P^{3 - } ฟอสไฟด์ไอออน
\displaystyle Br^ - โบรไมด์ไอออน \displaystyle Se^{2 - } ซีลีไนด์ไอออน
\displaystyle I^ - ไอโอไดด์ไอออน \displaystyle Te^{2 - } เทลลูไรด์ไอออน   

  การเรียกชื่อไอออนบวกและไอออนลบที่เป็นกลุ่มอะตอม
ไอออน ชื่อ ไอออน ชื่อ
\displaystyle NH_4 ^ + แอมโมเนียมไอออน \displaystyle OH^ - ไฮดรอกไซด์ไอออน
\displaystyle CN^ - ไซยาไนด์ไอออน \displaystyle MnO_4 ^ - เปอร์แมงกาเนตไอออน
\displaystyle NO_2 ^ - ไนไตรต์ไอออน \displaystyle NO_3 ^ - ไนเตรตไอออน
\displaystyle NCO_3 ^ - ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน \displaystyle PO_3 ^{2 - } คาร์บอเนตไอออน
\displaystyle NSO_4 ^ - ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน \displaystyle SO_4 ^{2 - } ซัลเฟตไอออน
\displaystyle S_2 O_3 ^{2 - } ไธโอซัลเฟตไอออน  \displaystyle H_2 PO_4 ^ - ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน
\displaystyle HPO_4 ^{2 - } ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน \displaystyle PO_4 ^{3 - } ฟอสเฟตไอออน


การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกบางชนิด
สารประกอบ การเรียกชื่อ สารประกอบ การเรียกชื่อ
KCN
\displaystyle K_2 O
ZnS
CuO
\displaystyle Cu_2 O
\displaystyle FeCl_2
\displaystyle FeCl_3  
โพแทสเซียมไซยาไนด์
โพแทสเซียมออกไซด์
ซิงค์ซัลไฟด์
คอปเปอร์ (II) ออกไซด์
คอปเปอร์ (I) ออกไซด์
ไอร์ออน (II) ออกไซด์
ไอร์ออน (III) ออกไซด์   
\displaystyle NaNO_2
\displaystyle NaNO_3
\displaystyle NaHCO_3
\displaystyle Mg(OH)_2
\displaystyle Ba_3 (PO_4 )_2
\displaystyle Al_2 (SO_4 )_3
\displaystyle NH_4 Cl
โซเดียมไนไตรต์
โซเดียมไนเตรต
โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต
แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
แบเรียมฟอสเฟต
อะลูมิเนียมซัลเฟต
แอมโมเนียมคลอไรด์
🌹พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
          การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย นักเรียนคิดว่าเมื่อโลหะโซเดียมทำปฏิกิริยากับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงานอย่างไร
          การศึกษาการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดสารประกอบไอออนิก วิธีการหนึ่งอาจพิจารณาจากวัฎจักรบอร์น-ฮาร์เบอร์ ซึ่งพัฒนาโดยแมกซ์ บอร์น และฟริตซ์ฮาเบอร์ โดยการตั้งสมมติฐานว่าการเกิดสารประกอบไอออนิกชนิดหนึ่งๆ มีหลายขั้น ในแต่ละขั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย เราจะพิจารณาการเกิดโซเดียมคลอไรด์จากปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีน ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1.  การระเหิดของโซเดียม โลหะโซเดียมสถานะของแข็งระเหิดกลายเป็นอะตอมในสถานะแก๊ส ใช้พลังงาน 107 กิโลจูลต่อโมลของโซเดียมอะตอม เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานการระเหิด

\displaystyle Na(s) \to Cl(g)



2.  การสลายพันธะของแก๊สคลอรีน โมเลกุลของแก๊สใช้พลังงาน 122 กิโลจูลต่อโมลอะตอมของคลอรีน เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานการสลายพันธะ

\displaystyle \frac{1}{2}Cl_2 (g) \to Cl(g)

3.  การแตกตัวเป็นไอออนของโซเดียม  อะตอมของโซเดียมในสถานะแก๊สเสียอิเล็กตรอนออกไปกลายเป็น \displaystyle Na^ +ใช้พลังงาน  496  กิโลจูลต่อโมลอะตอมของโซเดียม เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานไอออไนเซชัน

\displaystyle Na(g) \to Na^ + (g) + e^ -

4.  การเกิดคลอไรด์ไอออน  อะตอมของคลอรีนในสถานะแก๊สรับอิเล็กตรอนที่หลุดออกจากอะตอมของโซเดียมกลายเป็น  \displaystyle Cl^ -คายพลังงาน  349  กิโลจูลต่อโมลของคลอไรด์ไอออน พลังงานในขั้นนี้เรียกว่า สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน


5.  การเกิดโซเดียมคลอไรด์  โซเดียมไอออนกับคลอไรด์ไอออนในสถานะแก๊สรวมตัวกันเป็นผลึกโซเดียมคลอไรด์และคายพลังงานออกมา 787 กิโลจูลต่อโมลของโซเดียมคลอไรด์ เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานโครงผลึกหรือพลังงานแลตทิซ

\displaystyle Na^ + (g) + Cl^ - (g) \to NaCl(s)

ถ้าการเปลี่ยนแปลงพลังงานในแต่ละขั้นเขียนแทนด้วย  \displaystyle \Delta H  ลำดับต่างๆ และพลังงานรวมของปฏิกิริยาเขียนแทนด้วย \displaystyle \Delta H_f  เครื่องหมายบวก (+) แทนการดูดพลังงานและเครื่องหมายลบ (-) แทนการคายพลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ สมการแสดงขั้นตอนการเกิดโซเดียมคลอไรด์สามารถเขียนแสดงได้ดังนี้
                                    \displaystyle Na(s)+\frac{1}{2}Cl_2 (g) \to NaCl(s)                       \displaystyle \Delta H_f   =  -411  kJ

ขั้น  1     Na(s)  -->  Na(g)                         \displaystyle \Delta H_1 =  107 kJ
ขั้น  2    \displaystyle \frac{1}{2}Cl_2 (g) \to Cl(g)                                 \displaystyle \Delta H_2  =  122 kJ
ขั้น  3     Na(g) -->     \displaystyle Na^ + (g) + e^ -                \displaystyle \Delta H_3   =  496 kJ
ขั้น  4     \displaystyle Cl(g) + e^- \to                                   \displaystyle \Delta H_4 =  -349  kJ
ขั้น  5     \displaystyle Na^+ (g) + Cl^ - (g)  \to NaCl(s)            \displaystyle \Delta H_5 =  -787  kJ


สมการรวมของปฏิกิริยาเขียนแสดงได้ดังนี้
   \displaystyle Na(s)+\frac{1}{2}Cl_2 (g) \to NaCl(s)                       \displaystyle \Delta H_f   =  -411  kJ
- \displaystyle \Delta H_f มีความสัมพันธ์กับ\displaystyle \Delta H_1  \displaystyle \Delta H_2 \displaystyle \Delta H_3    \displaystyle \Delta H_4 และ\displaystyle \Delta H_5 อย่างไร

 ปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานมากกว่าพลังงานที่คายออกมาจัดเป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน ค่า \displaystyle \Delta H_f จะมีเครื่องหมายเป็นบวก ในทางตรงข้ามปฏิกิริยาที่คายพลังงานมากกว่าพลังงานที่ดูดเข้าไปจัดเป็นปฏิกิริยาแบบคายพลังงาน ค่า\displaystyle \Delta H_f จะมีเครื่องหมายเป็นลบ นักเรียนคิดว่าปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์ ตามตัวอย่างนี้เป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงานหรือคายพลังงาน

 การเกิดปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์อาจเขียนแผนภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานได้ดังนี้

🌹สมบัติของสารประกอบไอออนิก

สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบ เมื่อทุบผลึกของสารไอออนิกจะเกิดการเลื่อนไถลของไอออนไปตามระนาบผลึก เป็นผลให้ไอออนชนิดเดียวกันเลื่อนไปอยู่ตรงกัน จึงเกิดแรงผลักระหว่างไอออน ทำให้ผลึกแตกออก  เราจึงสังเกตพบว่าสารไอออนิกเปราะและแตกได้ง่าย

   นอกจากนี้สารประกอบไอออนิกที่เป็นผลึกของแข็งไอออนที่เป็นองค์ประกอบจะยึดเหนี่ยวกันอย่างแข็งแรงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จึงทำให้ไม่นำไฟฟ้า













 สมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบ ลักษณะที่ปราก จุดหลอมเหลว

\displaystyle (^\circ C)  

       จุดเดือด
\displaystyle (^\circ C)
สภาพละลายได้ในน้ำณ อุณหภูมิ \displaystyle 20^\circC
(g/น้ำ 100g)
NaCl ของแข็งสีขาว 801 1413 36.0
LiF ของแข็งสีขาว 846 1717 0.13
\displaystyle CaCl_2 ของแข็งสีขาว 782 1600 74.5
\displaystyle CuSO_4 \cdot 5H_2 O ของแข็งสีฟ้า 650 (สลายตัว) - 20.7
\displaystyle Al_2 O_3 ของแข็งสีขาว 2072 2980 ไม่ละลาย
\displaystyle Fe_2 O_3 ของแข็งสีน้ำตาลแดง 1565 - ไม่ละลาย
จากตารางจะพบว่าสารประกอบไอออนิกทุกสารมีสถานุเป็นของแข็ง มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง สารประกอบไอออนิกบางชนิดมีค่าสภาพละลายได้สูงบางชนิดมีค่าสภาพละลายได้ต่ำมาก และบางชนิดไม่ละลายในน้ำ
🌹ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
เมื่อนำสารละลายไอออนิกคู่ใดคู่หนึ่งมาผสมกัน แล้วเกิดตะกอนขึ้น แสดงว่าเกิดปฏิกิริยาขึ้น ในการเกิดปฏิกิริยาในน้ำมักจะมีการแลกเปลี่ยนไอออนบวกและไอออนลบซึ่งกันและกัน ซึ่งเขียนเป็นสมการทั่วไปได้ดังนี้

AX + BY ————>  AY + BX    เช่น

การผสมสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์และโซเดียมคาร์บอเนต ได้ตะกอนสีขาวของแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ Ca(OH)2, Na2CO3และ NaOH เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวอย่างสมบูรณ์ คือ



สมการที่แสดงไอออนอิสระของสารประกอบไอออนิกในสารละลายครบทุกชนิดเช่นนี้เรียกว่า สมการไอออนิก เนื่องจากในปฏิกิริยานี้มี OH- และ Na+ ปรากฏอยู่ทั้งสองด้านและไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาจึงตัดออกไปได้ ส่วนไอออนที่ทำปฏิกิริยาแล้วได้ผลิตภัณฑ์คือ Ca2+ และ CO32-เท่านั้น ที่นำมาเขียนเป็นสมการ


ดังนั้นสมการไอออนิกสุทธิจะเป็นสมการเคมีที่เขียนเฉพาะไอออนและโมเลกุลที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยาเท่านั้น โดยผลรวมของประจุทางซ้ายและทางขวาของสมการต้องดุลกันพอดี
สรุปสมการไอออนิกจะเกิดได้ 3 ลักษณะดังนี้
1. การเกิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละลายน้ำ เรียกว่า การตกตะกอน เช่น
จะได้ตะกอนของ PbI2(s) และ NaNO3 ที่ละลายน้ำได้ดี จึงมีไอออน Na+ และNO3- อยู่ในสารละลาย
เขียนเป็นสมการเชิงโมเลกุล


            https://sites.google.com



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น