พันธะไอออนิก
พันธะไอออนิก คือ
พันธะที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวก(cation) และไอออนลบ(anion) อันเนื่องมาจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน จากโลหะให้แก่อโลหะ โดยทั่วไปแล้วพันธะไอออนิกเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะและอโลหะ
ทั้งนี้เนื่องจากว่าโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชัน(ionization energy)ต่ำ แต่อโลหะมีค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน(electron affinity)สูง ดังนั้นโลหะจึงมีแนวโน้มที่จะให้อิเล็กตรอน
และอโลหะมีแนวโน้มที่จะรับอิเล็กตรอน
เมื่อโลหะเสียอิเล็กตรอนก็จะกลายเป็นไอออนบวก
อโลหะเมื่อรับอิเล็กตรอนก็จะกลายเป็นไอออนลบ
🌹การเกิดพันธะไอออนิก เกิดระหว่างโลหะกับอโลหะ ยกเว้น Be กับ B โดยโลหะจ่ายอิเล็กตรอนออกไปกลายเป็นประจุบวก
อโลหะรับอิเล็กตรอนเข้ามากลายเป็นประจุลบ
ประจุบวกและประจุลบที่เกิดขึ้นจะส่งแรงดึงดูดกัน เรียกว่า พันธะไอออนิก
🌹โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
1. ผลึกโซเดียมคลอไรด์
พบว่า ในผลึกโซเดียมคลอไรด์ มีโซเดียมไอออนสลับกันกับคลอไรด์ไอออนเป็นแถว ๆ ทั้งสามมิติ มีลักษณะคล้ายตาข่าย
โดยที่แต่ละไอออน จะมีไอออนต่างชนิดล้อมรอบอยู่ 6
ไออออน ดังรูป
ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างไอออนบวก
: ไอออนลบเท่ากับ 6 : 6 หรือ
1 : 1 สูตรอย่างง่ายจึงเป็น NaCl
ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างไอออนบวก
: ไอออนลบเท่ากับ 8 :
8 หรือ 1 : 1 สูตรอย่างง่ายจึงเป็น
CsCl
จากตัวอย่างของโครงสร้างผลึกของโซเดียมคลอไรด์และซีเซียมคลอไรด์ จะมีลักษณะต่างกัน ถึงแม้ว่าเป็นธาตุในหมู่เดียวกัน
เพราะมีขนาดไอออนต่างกัน
ธาตุในหมู่ IA IIA และ IIIA เมื่อเกิดเป็นไอออนบวก
ส่วนใหญ่จะมีประจุค่าเดียว
การเรียกชื่อไอออนเหล่านี้ให้เรียกชื่อธาตุลงท้ายด้วยคำว่าไอออน
ส่วนธาตุที่เกิดเป็นไอออนบวกได้มากกว่า 1 ชนิด เช่น ธาตุหมู่ IVA
ที่อยู่ทางตอนล่างของตารางธาตุและโลหะแทรนซิชัน
ให้เรียกชื่อธาตุและระบุประจำที่ปรากฎบนไอออนนั้นด้วยเลขโรมัน
สำหรับธาตุหมู่ VA VIA และ VIIA มักเกิดเป็นไอออนลบ
ให้เรียกชื่อธาตุแล้วเปลี่ยนท้ายเสียงเป็น ไ-ด์ (-ide)
และลงท้ายด้วยคำว่าไอออน
การเรียกชื่อไอออนบวกและไอออนลบของธาตุ
การเรียกชื่อไอออนบวกและไอออนลบที่เป็นกลุ่มอะตอม
การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกบางชนิด
🌹พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย นักเรียนคิดว่าเมื่อโลหะโซเดียมทำปฏิกิริยากับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงานอย่างไร
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดสารประกอบไอออนิก วิธีการหนึ่งอาจพิจารณาจากวัฎจักรบอร์น-ฮาร์เบอร์ ซึ่งพัฒนาโดยแมกซ์ บอร์น และฟริตซ์ฮาเบอร์ โดยการตั้งสมมติฐานว่าการเกิดสารประกอบไอออนิกชนิดหนึ่งๆ มีหลายขั้น ในแต่ละขั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย เราจะพิจารณาการเกิดโซเดียมคลอไรด์จากปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีน ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. การระเหิดของโซเดียม โลหะโซเดียมสถานะของแข็งระเหิดกลายเป็นอะตอมในสถานะแก๊ส ใช้พลังงาน 107 กิโลจูลต่อโมลของโซเดียมอะตอม เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานการระเหิด
3. การแตกตัวเป็นไอออนของโซเดียม อะตอมของโซเดียมในสถานะแก๊สเสียอิเล็กตรอนออกไปกลายเป็น
ใช้พลังงาน 496 กิโลจูลต่อโมลอะตอมของโซเดียม เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานไอออไนเซชัน
ถ้าการเปลี่ยนแปลงพลังงานในแต่ละขั้นเขียนแทนด้วย
ลำดับต่างๆ และพลังงานรวมของปฏิกิริยาเขียนแทนด้วย
เครื่องหมายบวก (+) แทนการดูดพลังงานและเครื่องหมายลบ (-)
แทนการคายพลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
สมการแสดงขั้นตอนการเกิดโซเดียมคลอไรด์สามารถเขียนแสดงได้ดังนี้
= -411 kJ
ขั้น 1 Na(s) --> Na(g)
= 107 kJ
ขั้น 2
= 122 kJ
ขั้น 3 Na(g) -->
= 496 kJ
ขั้น 4
= -349 kJ
ขั้น 5
= -787 kJ
สมการรวมของปฏิกิริยาเขียนแสดงได้ดังนี้
= -411 kJ
-
มีความสัมพันธ์กับ
และ
อย่างไร
ปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานมากกว่าพลังงานที่คายออกมาจัดเป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน ค่า
จะมีเครื่องหมายเป็นบวก ในทางตรงข้ามปฏิกิริยาที่คายพลังงานมากกว่าพลังงานที่ดูดเข้าไปจัดเป็นปฏิกิริยาแบบคายพลังงาน ค่า
จะมีเครื่องหมายเป็นลบ
นักเรียนคิดว่าปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์
ตามตัวอย่างนี้เป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงานหรือคายพลังงาน
การเกิดปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์อาจเขียนแผนภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานได้ดังนี้
สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบ เมื่อทุบผลึกของสารไอออนิกจะเกิดการเลื่อนไถลของไอออนไปตามระนาบผลึก เป็นผลให้ไอออนชนิดเดียวกันเลื่อนไปอยู่ตรงกัน จึงเกิดแรงผลักระหว่างไอออน ทำให้ผลึกแตกออก เราจึงสังเกตพบว่าสารไอออนิกเปราะและแตกได้ง่าย
นอกจากนี้สารประกอบไอออนิกที่เป็นผลึกของแข็งไอออนที่เป็นองค์ประกอบจะยึดเหนี่ยวกันอย่างแข็งแรงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จึงทำให้ไม่นำไฟฟ้า
สมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก
จากตารางจะพบว่าสารประกอบไอออนิกทุกสารมีสถานุเป็นของแข็ง
มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง
สารประกอบไอออนิกบางชนิดมีค่าสภาพละลายได้สูงบางชนิดมีค่าสภาพละลายได้ต่ำมาก
และบางชนิดไม่ละลายในน้ำ
🌹 การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
เราทราบแล้วว่าสารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้า ในการเขียนสูตรสารประกอบไอออนิกจึงต้องทราบว่าแต่ละธาตุที่ทำปฏิกิริยากันนั้นจะเกิดเป็นไอออนชนิดใด และมีจำนวนประจุเท่าใด ซึ่งพิจารณาได้จากการจัดอิเล็กตรอนของธาตุ ตัวอย่างไอออนของโลหะและอโลหะศึกษาได้จากรูป
เราทราบแล้วว่าสารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้า ในการเขียนสูตรสารประกอบไอออนิกจึงต้องทราบว่าแต่ละธาตุที่ทำปฏิกิริยากันนั้นจะเกิดเป็นไอออนชนิดใด และมีจำนวนประจุเท่าใด ซึ่งพิจารณาได้จากการจัดอิเล็กตรอนของธาตุ ตัวอย่างไอออนของโลหะและอโลหะศึกษาได้จากรูป
สูตรสารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะและอโลหะ (M แทนโลหะ X แทนอโลหะ)
โลหะหมู่ | อโลหะหมู่ | สูตรเอมพิริคัล | ตัวอย่าง |
IA IA |
VIIA VIA |
MX![]() |
NaCL Kl CsF![]() ![]() ![]() |
IIA IIA |
VIIA VIA |
![]() MX |
![]() ![]() ![]() BaS SrO MgS |
IIIA IIIA |
VIIA VIA |
![]() ![]() |
![]() ![]() |
การเรียกชื่อไอออนบวกและไอออนลบของธาตุ
ไอออนบวก | |||||
ไอออน 1+ | ไอออน 2+ | ไอออน 3+ | |||
![]() |
ไฮโดรเจนไอออน | ![]() |
แมกนีเซียมไอออน | ![]() |
อะลูมิเนียมไอออน |
![]() |
โซเดียม ไอออน | ![]() |
แคลเซียมไอออน | ![]() |
โครเมียม (III) ไอออน |
![]() |
โพแทสเซียมไอออน | ![]() |
ไอร์ออน (II) ไอออน | ![]() |
ไอร์ออน (III) ไอออน |
![]() |
คอปเปอร์ (I)ไอออน | ![]() |
คอปเปอร์ (II) ไอออน | ||
![]() ![]() |
เมอร์คิวรี (I) ไอออน | ![]() |
เมอร์คิวรี (II) ไอออน | ||
![]() |
ซิลเวอร์ไอออน | ![]() |
เลด (II) ไอออน | ||
ไอออนลบ | |||||
ไอออน 1- | ไอออน 2- | ไอออน 3- | |||
![]() |
ไฮไดร์ไอออน | ![]() |
ออกไซด์ไอออน | ![]() |
ไนโตรด์ไอออน |
![]() |
คลอไรด์ไอออน | ![]() |
ซัลไฟด์ไอออน | ![]() |
ฟอสไฟด์ไอออน |
![]() |
โบรไมด์ไอออน | ![]() |
ซีลีไนด์ไอออน | ||
![]() |
ไอโอไดด์ไอออน | ![]() |
เทลลูไรด์ไอออน | ||
ไอออน | ชื่อ | ไอออน | ชื่อ |
![]() |
แอมโมเนียมไอออน | ![]() |
ไฮดรอกไซด์ไอออน |
![]() |
ไซยาไนด์ไอออน | ![]() |
เปอร์แมงกาเนตไอออน |
![]() |
ไนไตรต์ไอออน | ![]() |
ไนเตรตไอออน |
![]() |
ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน | ![]() |
คาร์บอเนตไอออน |
![]() |
ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน | ![]() |
ซัลเฟตไอออน |
![]() |
ไธโอซัลเฟตไอออน | ![]() |
ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน |
![]() |
ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน | ![]() |
ฟอสเฟตไอออน |
การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกบางชนิด
สารประกอบ | การเรียกชื่อ | สารประกอบ | การเรียกชื่อ |
KCN![]() ZnS CuO ![]() ![]() ![]() |
โพแทสเซียมไซยาไนด์ โพแทสเซียมออกไซด์ ซิงค์ซัลไฟด์ คอปเปอร์ (II) ออกไซด์ คอปเปอร์ (I) ออกไซด์ ไอร์ออน (II) ออกไซด์ ไอร์ออน (III) ออกไซด์ |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
โซเดียมไนไตรต์ โซเดียมไนเตรต โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ แบเรียมฟอสเฟต อะลูมิเนียมซัลเฟต แอมโมเนียมคลอไรด์ |
การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย นักเรียนคิดว่าเมื่อโลหะโซเดียมทำปฏิกิริยากับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงานอย่างไร
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดสารประกอบไอออนิก วิธีการหนึ่งอาจพิจารณาจากวัฎจักรบอร์น-ฮาร์เบอร์ ซึ่งพัฒนาโดยแมกซ์ บอร์น และฟริตซ์ฮาเบอร์ โดยการตั้งสมมติฐานว่าการเกิดสารประกอบไอออนิกชนิดหนึ่งๆ มีหลายขั้น ในแต่ละขั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นด้วย เราจะพิจารณาการเกิดโซเดียมคลอไรด์จากปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีน ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. การระเหิดของโซเดียม โลหะโซเดียมสถานะของแข็งระเหิดกลายเป็นอะตอมในสถานะแก๊ส ใช้พลังงาน 107 กิโลจูลต่อโมลของโซเดียมอะตอม เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานการระเหิด

2. การสลายพันธะของแก๊สคลอรีน โมเลกุลของแก๊สใช้พลังงาน 122 กิโลจูลต่อโมลอะตอมของคลอรีน เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า พลังงานการสลายพันธะ

3. การแตกตัวเป็นไอออนของโซเดียม อะตอมของโซเดียมในสถานะแก๊สเสียอิเล็กตรอนออกไปกลายเป็น


4. การเกิดคลอไรด์ไอออน อะตอมของคลอรีนในสถานะแก๊สรับอิเล็กตรอนที่หลุดออกจากอะตอมของโซเดียมกลายเป็น
คายพลังงาน 349 กิโลจูลต่อโมลของคลอไรด์ไอออน พลังงานในขั้นนี้เรียกว่า สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน

5. การเกิดโซเดียมคลอไรด์
โซเดียมไอออนกับคลอไรด์ไอออนในสถานะแก๊สรวมตัวกันเป็นผลึกโซเดียมคลอไรด์และคายพลังงานออกมา
787 กิโลจูลต่อโมลของโซเดียมคลอไรด์ เรียกพลังงานในขั้นนี้ว่า
พลังงานโครงผลึกหรือพลังงานแลตทิซ

ถ้าการเปลี่ยนแปลงพลังงานในแต่ละขั้นเขียนแทนด้วย




ขั้น 1 Na(s) --> Na(g)

ขั้น 2


ขั้น 3 Na(g) -->


ขั้น 4


ขั้น 5


สมการรวมของปฏิกิริยาเขียนแสดงได้ดังนี้


-






ปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานมากกว่าพลังงานที่คายออกมาจัดเป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน ค่า


การเกิดปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีนเกิดเป็นโซเดียมคลอไรด์อาจเขียนแผนภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานได้ดังนี้
🌹สมบัติของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกกับไอออนลบ เมื่อทุบผลึกของสารไอออนิกจะเกิดการเลื่อนไถลของไอออนไปตามระนาบผลึก เป็นผลให้ไอออนชนิดเดียวกันเลื่อนไปอยู่ตรงกัน จึงเกิดแรงผลักระหว่างไอออน ทำให้ผลึกแตกออก เราจึงสังเกตพบว่าสารไอออนิกเปราะและแตกได้ง่าย
นอกจากนี้สารประกอบไอออนิกที่เป็นผลึกของแข็งไอออนที่เป็นองค์ประกอบจะยึดเหนี่ยวกันอย่างแข็งแรงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จึงทำให้ไม่นำไฟฟ้า
สมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบ | ลักษณะที่ปราก | จุดหลอมเหลว![]() |
จุดเดือด ![]() |
สภาพละลายได้ในน้ำณ อุณหภูมิ ![]() (g/น้ำ 100g) |
NaCl | ของแข็งสีขาว | 801 | 1413 | 36.0 |
LiF | ของแข็งสีขาว | 846 | 1717 | 0.13 |
![]() |
ของแข็งสีขาว | 782 | 1600 | 74.5 |
![]() |
ของแข็งสีฟ้า | 650 (สลายตัว) | - | 20.7 |
![]() |
ของแข็งสีขาว | 2072 | 2980 | ไม่ละลาย |
![]() |
ของแข็งสีน้ำตาลแดง | 1565 | - | ไม่ละลาย |
🌹ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
เมื่อนำสารละลายไอออนิกคู่ใดคู่หนึ่งมาผสมกัน แล้วเกิดตะกอนขึ้น แสดงว่าเกิดปฏิกิริยาขึ้น ในการเกิดปฏิกิริยาในน้ำมักจะมีการแลกเปลี่ยนไอออนบวกและไอออนลบซึ่งกันและกัน ซึ่งเขียนเป็นสมการทั่วไปได้ดังนี้
AX + BY ————> AY + BX เช่น
การผสมสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์และโซเดียมคาร์บอเนต ได้ตะกอนสีขาวของแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ Ca(OH)2, Na2CO3และ NaOH เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวอย่างสมบูรณ์ คือ
สมการที่แสดงไอออนอิสระของสารประกอบไอออนิกในสารละลายครบทุกชนิดเช่นนี้เรียกว่า สมการไอออนิก เนื่องจากในปฏิกิริยานี้มี OH- และ Na+ ปรากฏอยู่ทั้งสองด้านและไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาจึงตัดออกไปได้ ส่วนไอออนที่ทำปฏิกิริยาแล้วได้ผลิตภัณฑ์คือ Ca2+ และ CO32-เท่านั้น ที่นำมาเขียนเป็นสมการ
ดังนั้นสมการไอออนิกสุทธิจะเป็นสมการเคมีที่เขียนเฉพาะไอออนและโมเลกุลที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยาเท่านั้น โดยผลรวมของประจุทางซ้ายและทางขวาของสมการต้องดุลกันพอดี
สรุปสมการไอออนิกจะเกิดได้ 3 ลักษณะดังนี้
1. การเกิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละลายน้ำ เรียกว่า การตกตะกอน เช่น
จะได้ตะกอนของ PbI2(s) และ NaNO3 ที่ละลายน้ำได้ดี จึงมีไอออน Na+ และNO3- อยู่ในสารละลาย
เขียนเป็นสมการเชิงโมเลกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น